ความจริงเกี่ยวกับแคลเซียมในร่างกาย และโรคที่เกิดจากแคลเซียม
หลายคนกังวลว่า การกินอาหารที่มีแคลเซียมหรือน้ำดื่มที่มีแคลเซียม จะทำให้เกิดโรค เช่น นิ่ว หรือแคลเซียมเกาะในหลอดเลือด
แต่ในความเป็นจริง แคลเซียมที่อยู่ในน้ำดื่ม เป็นรูปแบบ แคลเซียมไอออน (Calcium Ion, Ca²) ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้งานได้ตามปกติ
ส่วนแคลเซียมที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น นิ่วในไต หรือคราบหินปูนในหลอดเลือด ไม่ใช่แคลเซียมไอออนธรรมดา แต่เกิดจากการจับตัวกันระหว่างแคลเซียมกับสารอื่น ๆ เช่น
•Calcium Oxalate (พบในนิ่วในไต)
• Calcium Phosphate (พบในหลอดเลือดที่มีการอักเสบ)

กระบวนการผิดปกตินี้ เกิดจากหลายปัจจัย เช่น
• การขาดวิตามิน D และ K2 ทำให้แคลเซียมไม่ถูกพาไปสะสมที่กระดูก
• ความผิดปกติของเมตาบอลิซึม
• ภาวะอักเสบเรื้อรังในร่างกาย
การเกิด Calcium Oxalate และ Calcium Phosphate ในร่างกาย
แคลเซียมในร่างกายปกติจะอยู่ในรูปแบบที่ปลอดภัย เช่น แคลเซียมไอออน (Ca²) ในเลือด หรือนำไปสร้างกระดูกและฟัน
แต่เมื่อร่างกายมีภาวะผิดปกติ แคลเซียมจะจับตัวกับสารอื่น กลายเป็นผลึก (Crystals) ที่สะสมผิดที่จนก่อโรคได้ เช่น:
1. การเกิด Calcium Oxalate (นิ่วในไต)
• Oxalate เป็นสารธรรมชาติที่พบได้ในอาหารบางชนิด เช่น ผักโขม ช็อกโกแลต ถั่ว
• ปกติร่างกายจะกำจัดออกทางปัสสาวะ แต่ถ้า
• มีปริมาณออกซาเลตในเลือดสูง
• มีแคลเซียมอิสระในปัสสาวะสูง
• ดื่มน้ำน้อย หรือมีปัสสาวะเข้มข้น
แคลเซียมกับออกซาเลตจะจับตัวกัน กลายเป็นผลึก Calcium Oxalate สะสมจนกลายเป็นนิ่วในไต
สรุป: นิ่วในไตไม่ได้เกิดจากการกินแคลเซียมมากเกินไป แต่เกิดจาก “ความไม่สมดุล” ระหว่างแคลเซียม ออกซาเลต และน้ำในร่างกาย
2. การเกิด Calcium Phosphate (แคลเซียมเกาะในหลอดเลือด)
• เมื่อหลอดเลือดเกิด การอักเสบเรื้อรัง เช่น จากเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดผิดปกติ
• ผนังหลอดเลือดจะมีเนื้อเยื่อเสียหาย
• แคลเซียมอิสระในเลือดจะจับตัวกับฟอสเฟต (Phosphate, PO³) ตรงบริเวณอักเสบ กลายเป็นผลึก Calcium Phosphate
การสะสมนี้เรียกว่า Vascular Calcification หรือ “หลอดเลือดแข็ง” ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการ และแหล่งที่มาของแคลเซียม
ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการต่อวัน (โดยประมาณ)
ช่วงอายุ / กลุ่ม | ปริมาณแคลเซียมที่แนะนำ (มก./วัน) |
เด็ก 1–3 ปี | 500 มก.
|
เด็ก 4–8 ปี | 800 มก. |
เด็ก 9–18 ปี | 1,300 มก. |
ผู้ใหญ่ 19–50 ปี | 1,000 มก. |
ผู้ใหญ่ 51 ปีขึ้นไป | 1,200 มก. |
หญิงตั้งครรภ์/ให้นมบุตร | 1,000–1,300 มก. |
หมายเหตุ:
ในวัยเด็ก-วัยรุ่นต้องการแคลเซียมมากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ร่างกาย “สร้างมวลกระดูก” สูงสุด
ส่วนผู้สูงอายุ ต้องการแคลเซียมเพิ่มเพื่อป้องกัน “กระดูกพรุน”
แหล่งแคลเซียมจากธรรมชาติ
อาหารประเภทนม
• นมวัว / นมแพะ
• โยเกิร์ต
•ชีส
(นม 1 แก้ว 250 มล. = ประมาณ 250–300 มก.แคลเซียม)
ผักใบเขียว (โดยเฉพาะชนิดสีเข้ม)
• คะน้า
•ผักโขม (Spinach)
• บรอกโคลี
(แต่บางชนิดมีสารออกซาเลตสูง เช่น ผักโขม → ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง)
อาหารทะเลบางชนิด
• ปลาเล็กปลาน้อยที่กินได้ทั้งกระดูก เช่น ปลาซิวทอด
• กุ้งแห้ง
ถั่ว เมล็ดพืช
• งาดำ (แคลเซียมสูงมาก)
• อัลมอนด์
• ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง (เต้าหู้, นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม)
อาหารเสริม / อาหารเสริมแคลเซียม
• แคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium Carbonate) → ต้องกินพร้อมอาหารเพื่อดูดซึมดี
• แคลเซียมซิเตรต (Calcium Citrate) → กินได้ทั้งท้องว่างและหลังอาหาร
(ควรเลือกแบบที่มี วิตามิน D ด้วย เพื่อช่วยการดูดซึมแคลเซียม)
น้ำดื่มแร่ธรรมชาติ
• น้ำแร่จากธรรมชาติ มักมีแคลเซียม 50–150 มก./ลิตร
(เสริมแคลเซียมได้เล็กน้อยในแต่ละวัน แบบค่อยเป็นค่อยไป)
Kangen Water pH 9.5 มีแคลเซียมในน้ำดื่ม ประมาณ 60–70 mg/L มีผลอย่างไรต่อร่างกาย?
ปริมาณนี้ถือว่า:
• อยู่ในระดับ “ปานกลาง” (ไม่ต่ำและไม่สูงเกินไป)
• เป็น น้ำดื่มที่มี “แร่ธาตุ” (Mineral water) ไม่ใช่น้ำกลั่นหรือน้ำ Reverse Osmosis ที่แทบไม่มีแร่ธาตุเลย
• ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในคนทั่วไป
• ร่างกายสามารถดูดซึมได้ส่วนหนึ่ง (ดูดซึมได้ง่ายกว่าจากแคลเซียมคาร์บอเนตในรูปเม็ดด้วยซ้ำในบางกรณี)
ผลดีที่ร่างกายได้รับจากแคลเซียมในน้ำดื่ม:
1. เสริมสร้างกระดูกและฟัน
• แม้จะเป็นปริมาณไม่มาก แต่ช่วยเสริมรวมกับแคลเซียมจากอาหารได้ดี
2. ดูดซึมง่าย
• แคลเซียมในน้ำอยู่ในรูป แคลเซียมไอออน ที่ละลายน้ำแล้ว
• ร่างกายสามารถดูดซึมได้แม้ในคนที่มีกรดในกระเพาะน้อย (ต่างจากเม็ดแคลเซียมคาร์บอเนตที่ต้องมีกรดช่วย)
3. ดีต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
• แคลเซียมมีบทบาทในการส่งสัญญาณประสาท และการหดตัวของกล้ามเนื้อ
4. ช่วยลดความเป็นกรดในร่างกายเล็กน้อย
• น้ำที่มีแร่ธาตุอัลคาไลน์ (รวมถึงแคลเซียมและแมกนีเซียม) อาจช่วยปรับสมดุลกรด-ด่างในร่างกายได้เล็กน้อย
ทำไมบางครั้งถึงเกิดตะกอนในน้ำ Kangen Water?
• ในน้ำดื่มที่มีแคลเซียม (60–70 mg/L) แคลเซียมจะอยู่ในรูป ละลายได้ในน้ำอุณหภูมิปกติ
• แต่เมื่อ อุณหภูมิเปลี่ยน (โดยเฉพาะตอนต้มน้ำ หรือ น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง) หรือ น้ำระเหยบางส่วน → แคลเซียมจะรวมตัวกับคาร์บอเนต → กลายเป็น แคลเซียมคาร์บอเนต (ตะกอนสีขาว)
• ไม่เป็นอันตราย และไม่ได้มีเชื้อโรคหรือสารเคมีใด ๆ
สรุปเกี่ยวกับแคลเซียม และ น้ำคังเก้น
- น้ำที่มีแคลเซียมจากธรรมชาติ ไม่ทำให้เป็นนิ่ว และไม่ได้ทำให้หลอดเลือดตีบ
- ตรงกันข้าม ยังช่วยเสริมแคลเซียมเล็กน้อยให้ร่างกาย และปลอดภัยกว่าการกินแคลเซียมเม็ดเสียอีก
- ถ้าดื่มน้ำเพียงพอ และร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคไตหรือโรคเรื้อรัง ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการดื่มน้ำแร่ หรือน้ำคังเก้น
- น้ำที่มีแคลเซียมในระดับ 60–70 มก./ลิตร ถือว่าเป็นแร่ธาตุในปริมาณต่ำ-ปานกลาง ซึ่งปลอดภัยสำหรับการดื่มในชีวิตประจำวัน
- ร่างกายของเราฉลาดมาก ถ้ามีแคลเซียมเกินก็จะขับออกทางปัสสาวะ ไม่ได้สะสมไว้แบบนั้น และการดื่มน้ำที่มีแคลเซียมแบบนี้ ยังช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมในรูปที่ดูดซึมง่ายกว่าการกินแคลเซียมเม็ดอีกด้วย
- นิ่วกับแคลเซียมที่เกาะหลอดเลือด เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น ดื่มน้ำน้อย มีโรคเรื้อรัง ไม่ขยับตัว หรือกินแคลเซียมเม็ดมากเกินไปโดยไม่เหมาะสม ไม่ได้เกิดจากแคลเซียมในน้ำดื่มธรรมชาติ
สรุปเรื่องการเกิดนิ่วอีกครั้ง
การเกิดนิ่วในไต มักเกี่ยวข้องกับ
• การ ดื่มน้ำน้อย → ปัสสาวะข้น
• การ กินอาหารที่มีออกซาเลตสูงร่วมกับแคลเซียมเม็ด
• หรือมีพันธุกรรมโรคนิ่ว → ไม่ใช่เพราะดื่มน้ำที่มีแคลเซียมตามธรรมชาติ
แคลเซียมที่เกาะหลอดเลือด (หลอดเลือดแข็ง)
• เกิดจากการ สะสมแคลเซียมในผนังหลอดเลือดจากการอักเสบเรื้อรัง, เบาหวาน, ความดัน, การสูบบุหรี่ ฯลฯ
• ไม่ได้เกิดจากการดื่มน้ำที่มีแคลเซียมต่ำ ๆ แบบนี้
• และร่างกายต้องมีวิตามิน D และ K2 ในสมดุลด้วย ซึ่งควบคุมการพาแคลเซียมไปที่ “กระดูก” แทนที่จะไปเกาะหลอดเลือด