ทำไมน้ำดื่มจึงมีกลิ่นแปลกๆ และวิธีแก้ไข
บางครั้งเมื่อเราดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำกรอง อาจรู้สึกถึงรสหรือกลิ่นแปลกๆ ซึ่งอาจทำให้สงสัยว่าน้ำยังปลอดภัยหรือไม่ กลิ่นและรสเหล่านี้เกิดจากอะไร และเราสามารถแก้ไขได้อย่างไร มาดูคำตอบกันค่ะ
ตรวจสอบหาที่มา ของกลิ่นในน้ำดื่ม
- ขั้นแรก ทดลองดื่มน้ำโดยตรงจากเครื่องกรอง:
- เปิดน้ำทิ้งไปประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้ทิ้งน้ำที่ค้างอยู่ในระบบไส้กรอง
หลังจากนั้นให้ลองน้ำแก้วสะอาด รองน้ำดื่ม และสังเกตุว่ามีกลิ่นหรือไม่ หากไม่มีกลิ่น แสดงว่าน้ำที่ออกมาจากเครื่องกรองน้ำ ไม่ได้มีกลิ่น ไม่มีปัญหาที่ไส้กรอง แต่มีปัญหาที่ภาชนะที่ใส่น้ำ - 90% ของลูกค้าที่ดื่มน้ำจากเครื่องกรองโดยตรงจะไม่พบกลิ่นผิดปกติ ส่วนมากแล้ว กลิ่นที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นเมื่อเรานำน้ำที่กรองไว้แล้วไปเก็บไว้ที่ภาชนะต่างๆ
- ตรวจสอบภาชนะที่ใส่น้ำ:
- ดูว่าน้ำในภาชนะหรือขวดใดที่มีกลิ่น และภาชนะใดที่ไม่มีกลิ่น
- ภาชนะพลาสติกหรือแก้วที่ใช้ใส่น้ำ อาจมีปัญหา เช่น มีกลิ่นตกค้าง หรือเกิดกลิ่นจากน้ำที่แช่ไว้นาน
- ถ้าน้ำที่กรองใหม่ไม่มีกลิ่น ปัญหาจะอยู่กับภาชนะ ให้เปลี่ยนมาใช้ภาชนะที่เหมาะสม เช่น ขวดแก้ว, ขวดพลาสติก BPA Free, หรือขวดที่ไม่ทำให้เกิดกลิ่น
- ระวังกลิ่นของน้ำดื่มที่แช่ในตู้เย็น:
- ระวังกลิ่นจากน้ำที่แช่ตู้เย็น หากใส่ภาชนะที่ไม่ได้ปิดมิดชิดเช่น เหยือก กลิ่นของตู้เย็นอาจเข้าไปอยู่ในน้ำดื่ม ทำให้รู้สึกได้กลิ่นเมื่อดื่มน้ำ
- หากน้ำกรองจากเครื่องกรองน้ำมีกลิ่น:
- ให้ทำการเปลี่ยนไส้กรองทั้งหมด และล้างเครื่องกรองน้ำให้สะอาด
- หากยังมีกลิ่นอยู่ ให้ลองสำรวจที่แท็งค์พักน้ำในบ้าน ถ้าแท็งค์พักน้ำสกปรกหรือมีกลิ่นเหม็นอับ อาจจะทำให้มีกลิ่นที่เครื่องกรองน้ำด้วย ให้ทำการล้างแท็งค์น้ำให้สะอาด
สาเหตุของกลิ่นน้ำดื่มในภาชนะ
- ขวดพลาสติกที่ไม่มีคุณภาพ: พลาสติกบางชนิดปล่อยกลิ่นเมื่อสัมผัสกับน้ำ หรือเมื่อถูกแสงแดด
- การดูดซับกลิ่นจากภายนอก: น้ำสะอาดสามารถดูดซับกลิ่นจากสิ่งรอบข้างได้ เช่น ตู้เย็น หรือพื้นที่เก็บน้ำ
- แบคทีเรียในภาชนะ: ภาชนะที่ไม่ได้ล้างอย่างถูกต้อง อาจสะสมแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่น
- แร่ธาตุในน้ำ: น้ำดื่มที่มีแร่ธาตุ เช่น น้ำแร่อาจมีรสชาติเล็กน้อยจากปฏิกิริยากับอากาศหรือภาชนะ สังเกตุได้ว่า น้ำแร่แต่ละยี่ห้อจะมีรสชาติที่ต่างกันเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณ และชนิดของแร่ธาตุที่ละลายอยู่ในน้ำ
วิธีป้องกันและแก้ไขน้ำมีกลิ่น
- เปลี่ยนไส้กรองตามระยะเวลาที่กำหนด
- เก็บน้ำในที่เย็นและห่างจากแสงแดด
- ผลิตน้ำในปริมาณที่พอเหมาะและไม่เก็บไว้นานเกิน 1-2 วัน
- ทำความสะอาดภาชนะใส่น้ำอย่างสม่ำเสมอ
- ใช้ภาชนะคุณภาพดี เช่น แก้ว หรือขวดพลาสติก BPA Free
ทำไมแต่ละคนถึงได้กลิ่นในน้ำต่างกัน?
- พันธุกรรม: ความแตกต่างของยีนที่เกี่ยวข้องกับตัวรับรสทำให้บางคนไวต่อรสหรือกลิ่นมากกว่าคนอื่น
- สภาวะสุขภาพ: โรคบางอย่าง เช่น ภูมิแพ้ หรือหวัด อาจส่งผลต่อการรับรส
- ยาบางชนิด: ยาบางชนิดอาจเปลี่ยนการรับรส ทำให้กลิ่นในน้ำชัดเจนขึ้นหรือเปลี่ยนไป
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต: การสูบบุหรี่ หรือการบริโภคอาหารรสจัดอาจส่งผลต่อความไวในการรับรส
- อิทธิพลด้านวัฒนธรรม: การสัมผัสกับรสชาติที่หลากหลายในอาหารประจำวัน ส่งผลต่อการรับรู้กลิ่นและรส
น้ำดื่มที่มีกลิ่น อันตรายหรือไม่?
น้ำที่มีกลิ่นแปลกๆ ไม่ได้หมายความว่าน้ำ "เสีย" หรือ "อันตราย" เสมอไป ควรตรวจสอบว่าแหล่งที่มาของน้ำ, ภาชนะที่ใส่น้ำ, และระบบกรองน้ำอยู่ในสภาพดีหรือไม่
เหงื่อในขวดน้ำ หรือถังน้ำ ทำให้เกิดกลิ่นได้อย่างไร
เหงื่อในขวดน้ำหรือถังน้ำสามารถทำให้เกิดกลิ่นได้ โดยสามารถอธิบายได้ดังนี้:
- การสะสมของความชื้น: เมื่อภาชนะใส่น้ำถูกเก็บในที่ร้อนหรือไม่สามารถระบายอากาศได้ดี ความชื้นจากน้ำอาจทำให้เกิดเหงื่อในภาชนะ ซึ่งสามารถทำให้มีการสะสมของแบคทีเรียและเชื้อรา ที่สามารถทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้
- การสะสมของสารอินทรีย์: เหงื่อที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในภาชนะอาจทำให้สารอินทรีย์จากสิ่งต่างๆ เช่น อาหารหรือฝุ่นละอองที่อยู่ในอากาศเข้าไปสะสมในน้ำ ซึ่งสามารถทำให้เกิดกลิ่นเหม็นได้
- การปนเปื้อนจากภายนอก: หากภาชนะใส่น้ำถูกเปิดหรือมีการสัมผัสกับสิ่งสกปรกหรือสารเคมีจากภายนอก อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนที่ทำให้เกิดกลิ่นในน้ำ
- ขอบยางซีลกันน้ำที่ฝาขวดเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้น้ำมีกลิ่น: หากไม่ทำความสะอาดซิลิโคนหรือยางต่างๆ เหล่านี้เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกและความชื้นที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของราได้ ควรทำความสะอาดขอบยางและซิลิโคนอย่างสม่ำเสมอ และตากให้แห้งหลังการล้างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์จากการเจริญเติบโตของราในส่วนนี้
เพื่อป้องกันการเกิดกลิ่นจากเหงื่อในภาชนะใส่น้ำ ควรเก็บน้ำในที่เย็นและมีการระบายอากาศที่ดี รวมถึงทำความสะอาดภาชนะให้สะอาดอยู่เสมอ และหลีกเลี่ยงการเก็บน้ำไว้นานเกินไปค่ะ
ความปลอดภัยในการดื่มน้ำจากเครื่องกรอง
น้ำประปาในประเทศไทย ผ่านกระบวนการผลิตและบำบัดตามมาตรฐาน จึงปลอดภัยต่อการบริโภค มีการฆ่าเชื้อโรค เชื้อจุลินทรีย์โดยการเติมคลอรีนลงไปในกระบวนการผลิตน้ำประมา หากใช้ร่วมกับเครื่องกรองน้ำที่มีคุณภาพ เช่น มาตรฐาน NSF หรือ ISO 13485 จะช่วยกำจัดสารปนเปื้อนเพิ่มเติม เช่น คลอรีน ตะกอน หรือสารเคมีตกค้าง ทำให้น้ำสะอาดและปลอดภัยมากขึ้น
กลิ่นและรสของน้ำดื่ม Kangen Water
โดยปกติแล้ว น้ำ Kangen Water จะไม่มีรส และกลิ่นใดๆ แต่หากเป็นผู้ที่มีความไวต่อการรับรส อาจสามารถรับรู้ถึงความแตกต่างของน้ำ Kangen Water ใน pH ที่ต่างๆกันได้ เครื่อง Kangen Water สามารถปรับระดับ pH ได้ 3 ระดับ คือ pH 8.5, 9.0, และ 9.5
เนื่องจากแต่ละคน จะมีความไวต่อรสไม่เหมือนกัน เครื่อง Kangen Water ทุกรุ่น จึงสามารถผลิตน้ำ Kangen Water ได้หลาย pH ผู้ใช้งานสามารถเลือกดื่ม Kangen Water ในระดับ pH ที่ท่านรู้สึกว่ารสชาติดี ดื่มได้ง่ายที่สุดค่ะ
รสชาติของน้ำที่ pH ต่างกัน เกิดจากในน้ำ Kangen Water ในแต่ละ pH นั้น จะมีความเข้มข้นของแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ละลายอยู่ในน้ำในปริมาณที่ต่างกันค่ะ แร่ธาตุนี้จะเป็นปัจจัยทำให้รสชาติของน้ำ Kangen ต่างกันออกไปค่ะ
ทางบริษัท Kangen Water Thailand ได้ทำการส่งน้ำ Kangen Water ทำการตรวจสอบมาตรฐานน้ำดื่มตามกระทรวงสาธารณสุข พบว่าน้ำ Kangen Water มีความสะอาด มีคุณภาพ และมีแร่ธาตุตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ทุกข้อ และไม่ตรวจพบเจอสารจุลินทรีย์ใดๆที่เป็นอันตรายต่อร่างกายค่ะ
หากท่านสงสัยในคุณภาพน้ำดื่ม
หากท่านสงสัยว่า น้ำดื่มที่ท่านดื่มนั้นมีคุณภาพดีหรือไม่ สามารถส่งน้ำตรวจได้ที่ห้องปฏิบัติการ (Lab) หรือศูนย์ให้บริการเกี่ยวกับการตรวจน้ำ
นอกจากนี้ ท่านสามารถติดต่อทางเราเพื่อช่วยประสานงานในการส่งน้ำตรวจได้ค่ะ โดยจะมีค่าบริการตรวจคุณภาพน้ำแบบเต็มรูปแบบตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุขอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาท และใช้เวลาส่งตรวจประมาณ 7-15 วันทำการ